สวัสดีครับ
บทความนี้ ตั้งใจจะอธิบายในสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว ในมุมมองของผม มากกว่าที่จะพยายามเดาว่าในอนาคตจะเกิดอะไร เพื่อให้นักลงทุนได้เข้าใจในประเด็นอื่นๆเพิ่มเติม และไม่ผูกเงื่อนไขการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นไว้กับการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพียงอย่างเดียวนะครับ
นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันนี้ ต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยไปแล้วสูงถึง -182,464.56 ล้านบาทด้วยกัน (ข้อมูล ณ สิ้นวันที่ 12 ธ.ค. 2556) ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณเงินที่เยอะมากกว่าตอนช่วงวิกฤตปี 2008 เสียอีก
การขายครั้งนี้ มีนัยอะไร และมีเหตุผลอะไรรองรับบ้าง?
อย่างที่ทราบกันมาตั้งแต่เดือน พ.ค. ว่า แรงขายครั้งนี้ ทำให้ตลาดหุ้นกลุ่ม TIP ร่วงลงมาโดยพร้อมเพรียงกัน ดังนั้น ปัญหา ไม่น่าจะใช่แค่ประเทศไทย แต่มันเป็นปัญหาระดับภูมิภาคครับ
แรงเทขายไม่ได้มีเฉพาะในตลาดหุ้นเท่านั้น แต่รวมถึงตลาดตราสารหนี้ด้วย ทำให้ค่าเงินของกลุ่ม TIP อ่อนค่าอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ที่หนักที่สุดก็คือ อินโดนีเซีย ซึ่งค่าเงินอ่อนค่าทำจุดสูงสุดในรอบ 5 ปีไปแล้ว และอ่อนค่าเมื่อเทียบจากสิ้นเดือน เม.ย. ไปแล้วเกินกว่า 20% ทีเดียว
เหตุผล 3 ข้อ
1. เพราะตัวเลขดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจอเมริกา ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจของยักษ์ใหญ่กำลังจะฟื้นคืนชีพ สิ่งที่ตามมาคือ การทำ QE Tapering หรือ ลดวงเงินอัดฉีด ซึ่งเงินอัดฉีดนี้ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ไหลเข้ามาลงทุนในกลุ่ม TIP ต่อเนื่อง
คราวนี้ พอจะไม่มีเงินร้อนมาทำให้ตลาดคึกคัก นลท. ก็ต้องคิดจะถอนทุนคืนเป็นธรรมดา เพราะถ้าใครลุกช้า มีโอกาสว่าจะจ่ายรอบวง!!
แต่อย่างที่เราเห็น ผ่านมาแล้วเกือบๆครึ่งปี สุดท้าย เราก็ยังไม่เห็นเฮียเบน เบอร์นันเก้ คิดจะลดวงเงิน QE เสียที จนล่าสุด ปีหน้ากำลังจะได้ประธานเฟดคนใหม่คือ เจเน็ต เยลเลน
นักลงทุนจึงรู้สึกเหมือนถูกหลอกให้กลัวมาตลอด ทั้งๆที่เฟดก็บอกว่า ยังไม่ลด QE จนกว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะดีชัดเจน
ล่าสุด สภา Congress ของสหรัฐฯบรรลุข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐในวันที่ 15 ม.ค.แล้ว โดยข้อตกลงดังกล่าวจะกำหนดระดับการใช้จ่ายสำหรับรัฐบาลกลางในอีก 2 ปีข้างหน้า และจะยุติมาตรการลดรายจ่ายโดยอัตโนมัติ (Sequester) บางส่วนในอีก 2 ปีข้างหน้า เป็นอันว่า โดน Government Shutdown ไปแค่รอบเดียว ปีหน้ารอดพ้น เหลืออีกอย่างที่ต้องลุ้นกันก็คือ Debt Ceiling นั้นเอง
พอเป็นอย่างนี้ พวกที่ Wallstreet ก็ยิ่งคิดกันว่า เฮ้ย!! หรือ FOMC จะเริ่มทำ Tapering ทันทีในวันที่ 18 ธ.ค. ที่จะถึงนี้เลย?
2. เศรษฐกิจไทย ไม่ได้ไฉไล ไม่ได้ชะลอแค่ชั่วคราว แต่เหมือนจะโดนลากยาวมากขึ้น
ถ้าจำกันได้ ต้นปี รมต.คลัง กับ ผู้ว่าฯแบงกืชาติ ยังเถียงกันอยู่เลยเรื่องค่าเงินบาทแข็งอย่างรวดเร็วแตะระดับ 28.5 บาท/USD ในวันที่ 19 เม.ย. นับแต่นั้นมา ปัญหาที่แท้จริงจากสภาพคล่องโลกก็ทำให้ทั้งสองฝ่ายหยุดเถียงกัน
ประมานการณ์ GDP ของไทย จากทั้งแบงก์ชาติ และ สศช. นั้น ถือว่าปรับลดเป้า GDP ไทย ในปี 2013 และ 2014 บ่อยที่สุดปีเนิงเลยก็ว่าได้ โดยสาเหตุหลักที่ GDP ไทย ไม่โตตามเป้านั้นมาจากหลายสาเหตุเลยครับ
- การบริโภคชะลอตัว ตั้งแต่ไตรมาสสอง จากการโดนดูด Demand ไปในปีที่แล้วที่โครงการบ้านหลังแรก และรถคันแรก
- ไม่ใช่ว่า ค่าเงินบาทอ่อน จะทำให้ส่งออกดีเสมอไป เพราะการอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ผลิตปรับตัวไม่ทัน สินค้าตัวเก่ายังค้างสต๊อค ดังนั้น ผลบวกจากค่าเงินบาทอ่อนไปสู่ภาคการส่งออก จึงล่าช้ากว่าที่หลายคนหวังไว้
- การเบิกจ่าบงบประมาณ จาก พรบ. จัดการน้ำ และความหวัง พรบ. 2 ล้านล้าน มีอันต้องชะลอไปอีก (ตามระเบียบ) ดังนั้น โครงการใหญ่ๆจึงชะลอการลงทุนทันที
- Export of Service อย่างการท่องเที่ยว ก็ดูจะไม่ช่วงพยุงเท่าไหร่ เพราะการเมืองดันมาครุกรุ่นเอาตอนปลายปี แต่ถึงแม้ไม่มีเรื่องการเมือง สัดส่วนการท่องเที่ยวต่อการส่งออกทั้งหมดก็ไม่ได้สูงจนช่วยภาพรวมได้มาก
สำหรับฟิลิปปินส์นั้น ประสบกับภัยพัติอย่างพายุไห่เยียน ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่ไทยโดนพิษการเมือง ฝั่งอินโดฯ ก็มีปัญหาเงินเฟ้อเร่งตัว และขาดดุลการค้า พอดิบพอดี เรียกได้ว่า มาแย่พร้อมๆกันแบบมิได้นัดหมาย ไม่วาย ก็ต้องโดยต่างชาติขายออกไปตามระเบียบ
คำถามคือ แล้วเขาขายเอาเงินไปไหน?
หากดูเฉพาะ Equity Fund Flow เท่านั้น ภาพด้านล่างนี้ สามารถตอบคำถามได้ไม่มากก็น้อย นั้นคือเหตุผลข้อที่ 3.
3. เงินทุนของโลกไหลกลับไปที่ตลาดพัฒนาแล้ว (Developed Markets) อย่าง อเมริกา ยุโรป และ ญี่ปุ่น และออกจากฝั่งตลาดเกิดใหม่อย่าง ยุโรปตะวันออก ละตินอเมริกา และเอเชีย
ซึ่งก็มีเหตุผลของมันนะครับ เม็ดเงินจาก QE ฝั่งอเมริกา และยุโรป และที่กำลังอัดอยู่ทุกๆเดือนที่ญี่ปุ่นผ่าน Abenomics นั้น หลักๆแล้วมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน นั้นก็คือ ตลาดพันธบัตร เพื่อไปกดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ต่ำเป็นพิเศษ จูงใจให้บริษัทกู้เงินไปลงทุนในต้นทุนที่ต่ำลง แต่หลังจากนี้ ถ้ามี QE Tapering ก็หมายความว่า FOMC มั่นใจแล้วว่าศก.อเมริกาดีจริง ไม่ต้องพึ่งพา QE และ เมื่อนั้นเงินที่อยู่ในตราสารหนี้มากๆ ก็ไหลกลับมาสู่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น
แล้วต่อจากนี้ ตลาดหุ้นบ้านเราจะเป็นอย่างไร?
ปีนี้ ต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยไป เหลืออีกนิดเดียวก็จะเกิน 200,000 ล้านบาท ถือว่า เป็นแรงขายที่เยอะกว่าตอนวิกฤตปี 2008 ค่อนข้างมาก และพอขายมากๆ เราก็กลัวว่า เขาจะไม่กลับมาหาเราอีก
แต่อดีตก็เป็นเครื่องการันตีอนาคตว่า มาแล้วก็ไป ไปแล้ว เด๋วซักพักก็กลับมา วนเวียนไปเรื่อยๆ เป้นอย่างนี้มาตลอด แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ การที่โวลุ่ม ปริมาณการซื้อขายในตลาดนั้นลดลงค่อนข้างมาก แปลว่า มีนักลงทุนเลือกที่จะอยู่เฉยๆรอดูความชัดเจน (ไม่ก็หลับคาดอยกันไปหมดแว้วววว) ดังนั้น หากต่างชาติยังขายเฉลี่ยวันละ 2,000 - 4,000 ล้านบาทไปเรื่อยๆ ก็เหนื่อยจิตแน่นอน
หลังจากนี้ จะดูว่าต่างชาติจะหยุดขายเมื่อไหร่ คงต้องไปดู Valuation ของตลาดไทย เทียบกับคนอื่น ตารางด้านล่าง เป็นการเทียบ P/E และ P/BV ของดัชนีสำคัญของโลก (ไทยเราถูกรวมใน ASEAN)
ซึ่งเห้นปั๊บก็จะรู้ทันทีว่า ASEAN นั้น เทรดที่ PE ใกล้ๆระดับสูงกว่าระดับค่าเฉลี่ยในรอบ 20 ปี และสูงสุดในรอบ 20 ปี ที่ผ่านมา ในขณะที่ S&P500 ยุโรป จีน ญี่ปุ่น ยังมี Upside ให้วิ่งขึ้นอีกพอสมควร
ข้อมูลจาก J.P.Morgan Asset Management
การเมืองยังไม่ชัด นักวิเคราะห์ก็พร้อมปรับ Valuation หุ้นไทยลงทุกเมื่อ เป็นแบบนี้ อีก 3 เดือนข้างหน้า ถึงมีเด้งขึ้นได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยั่งยืน อีกทั้ง ควรถอยมาดูภาพใหญ่ไกลตัวมากขึ้น เพราะ ปริมาณเงินที่มีมาก จะทำให้การไหลไปไหลมาของ Fund Flow เร็วมากขึ้น อันนี้เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องยอมรับให้ได้
หยุดขายเมื่อไหร่ เด้งได้เมื่อไหร่?
ตอบแบบตรงๆก็คือ เมื่อเขาซื้อ อเมริกา ยุโรป และ ญี่ปุ่นจนพอใจ แล้วพบว่า ซื้อจนราคามันแพงไป พอหันกลับมาที่หุ้นไทย แล้วก็คิดได้ว่า โอ้ววววว ถูกจังเบยยยยย
ตอบแบบเป๊ะๆว่าเมื่อไหร่?
... ไม่รู้จริงๆครับ รู้แต่ว่า ปีหน้า ยากกว่าปีนี้ แน่นอน
Merry X'Mas & Happy New Year ล่วงหน้านะครับ
--------------------------
โชคดีในการลงทุนครับ
$$... SET Index ยังดูสับสน ปัจจัยลบ ในและนอก รุมเร้า ...$$
บทความนี้ ตั้งใจจะอธิบายในสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว ในมุมมองของผม มากกว่าที่จะพยายามเดาว่าในอนาคตจะเกิดอะไร เพื่อให้นักลงทุนได้เข้าใจในประเด็นอื่นๆเพิ่มเติม และไม่ผูกเงื่อนไขการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นไว้กับการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพียงอย่างเดียวนะครับ
นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันนี้ ต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยไปแล้วสูงถึง -182,464.56 ล้านบาทด้วยกัน (ข้อมูล ณ สิ้นวันที่ 12 ธ.ค. 2556) ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณเงินที่เยอะมากกว่าตอนช่วงวิกฤตปี 2008 เสียอีก
การขายครั้งนี้ มีนัยอะไร และมีเหตุผลอะไรรองรับบ้าง?
อย่างที่ทราบกันมาตั้งแต่เดือน พ.ค. ว่า แรงขายครั้งนี้ ทำให้ตลาดหุ้นกลุ่ม TIP ร่วงลงมาโดยพร้อมเพรียงกัน ดังนั้น ปัญหา ไม่น่าจะใช่แค่ประเทศไทย แต่มันเป็นปัญหาระดับภูมิภาคครับ
แรงเทขายไม่ได้มีเฉพาะในตลาดหุ้นเท่านั้น แต่รวมถึงตลาดตราสารหนี้ด้วย ทำให้ค่าเงินของกลุ่ม TIP อ่อนค่าอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ที่หนักที่สุดก็คือ อินโดนีเซีย ซึ่งค่าเงินอ่อนค่าทำจุดสูงสุดในรอบ 5 ปีไปแล้ว และอ่อนค่าเมื่อเทียบจากสิ้นเดือน เม.ย. ไปแล้วเกินกว่า 20% ทีเดียว
เหตุผล 3 ข้อ
1. เพราะตัวเลขดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจอเมริกา ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจของยักษ์ใหญ่กำลังจะฟื้นคืนชีพ สิ่งที่ตามมาคือ การทำ QE Tapering หรือ ลดวงเงินอัดฉีด ซึ่งเงินอัดฉีดนี้ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ไหลเข้ามาลงทุนในกลุ่ม TIP ต่อเนื่อง
คราวนี้ พอจะไม่มีเงินร้อนมาทำให้ตลาดคึกคัก นลท. ก็ต้องคิดจะถอนทุนคืนเป็นธรรมดา เพราะถ้าใครลุกช้า มีโอกาสว่าจะจ่ายรอบวง!!
แต่อย่างที่เราเห็น ผ่านมาแล้วเกือบๆครึ่งปี สุดท้าย เราก็ยังไม่เห็นเฮียเบน เบอร์นันเก้ คิดจะลดวงเงิน QE เสียที จนล่าสุด ปีหน้ากำลังจะได้ประธานเฟดคนใหม่คือ เจเน็ต เยลเลน
นักลงทุนจึงรู้สึกเหมือนถูกหลอกให้กลัวมาตลอด ทั้งๆที่เฟดก็บอกว่า ยังไม่ลด QE จนกว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะดีชัดเจน
ล่าสุด สภา Congress ของสหรัฐฯบรรลุข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐในวันที่ 15 ม.ค.แล้ว โดยข้อตกลงดังกล่าวจะกำหนดระดับการใช้จ่ายสำหรับรัฐบาลกลางในอีก 2 ปีข้างหน้า และจะยุติมาตรการลดรายจ่ายโดยอัตโนมัติ (Sequester) บางส่วนในอีก 2 ปีข้างหน้า เป็นอันว่า โดน Government Shutdown ไปแค่รอบเดียว ปีหน้ารอดพ้น เหลืออีกอย่างที่ต้องลุ้นกันก็คือ Debt Ceiling นั้นเอง
พอเป็นอย่างนี้ พวกที่ Wallstreet ก็ยิ่งคิดกันว่า เฮ้ย!! หรือ FOMC จะเริ่มทำ Tapering ทันทีในวันที่ 18 ธ.ค. ที่จะถึงนี้เลย?
2. เศรษฐกิจไทย ไม่ได้ไฉไล ไม่ได้ชะลอแค่ชั่วคราว แต่เหมือนจะโดนลากยาวมากขึ้น
ถ้าจำกันได้ ต้นปี รมต.คลัง กับ ผู้ว่าฯแบงกืชาติ ยังเถียงกันอยู่เลยเรื่องค่าเงินบาทแข็งอย่างรวดเร็วแตะระดับ 28.5 บาท/USD ในวันที่ 19 เม.ย. นับแต่นั้นมา ปัญหาที่แท้จริงจากสภาพคล่องโลกก็ทำให้ทั้งสองฝ่ายหยุดเถียงกัน
ประมานการณ์ GDP ของไทย จากทั้งแบงก์ชาติ และ สศช. นั้น ถือว่าปรับลดเป้า GDP ไทย ในปี 2013 และ 2014 บ่อยที่สุดปีเนิงเลยก็ว่าได้ โดยสาเหตุหลักที่ GDP ไทย ไม่โตตามเป้านั้นมาจากหลายสาเหตุเลยครับ
- การบริโภคชะลอตัว ตั้งแต่ไตรมาสสอง จากการโดนดูด Demand ไปในปีที่แล้วที่โครงการบ้านหลังแรก และรถคันแรก
- ไม่ใช่ว่า ค่าเงินบาทอ่อน จะทำให้ส่งออกดีเสมอไป เพราะการอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ผลิตปรับตัวไม่ทัน สินค้าตัวเก่ายังค้างสต๊อค ดังนั้น ผลบวกจากค่าเงินบาทอ่อนไปสู่ภาคการส่งออก จึงล่าช้ากว่าที่หลายคนหวังไว้
- การเบิกจ่าบงบประมาณ จาก พรบ. จัดการน้ำ และความหวัง พรบ. 2 ล้านล้าน มีอันต้องชะลอไปอีก (ตามระเบียบ) ดังนั้น โครงการใหญ่ๆจึงชะลอการลงทุนทันที
- Export of Service อย่างการท่องเที่ยว ก็ดูจะไม่ช่วงพยุงเท่าไหร่ เพราะการเมืองดันมาครุกรุ่นเอาตอนปลายปี แต่ถึงแม้ไม่มีเรื่องการเมือง สัดส่วนการท่องเที่ยวต่อการส่งออกทั้งหมดก็ไม่ได้สูงจนช่วยภาพรวมได้มาก
สำหรับฟิลิปปินส์นั้น ประสบกับภัยพัติอย่างพายุไห่เยียน ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่ไทยโดนพิษการเมือง ฝั่งอินโดฯ ก็มีปัญหาเงินเฟ้อเร่งตัว และขาดดุลการค้า พอดิบพอดี เรียกได้ว่า มาแย่พร้อมๆกันแบบมิได้นัดหมาย ไม่วาย ก็ต้องโดยต่างชาติขายออกไปตามระเบียบ
คำถามคือ แล้วเขาขายเอาเงินไปไหน?
หากดูเฉพาะ Equity Fund Flow เท่านั้น ภาพด้านล่างนี้ สามารถตอบคำถามได้ไม่มากก็น้อย นั้นคือเหตุผลข้อที่ 3.
3. เงินทุนของโลกไหลกลับไปที่ตลาดพัฒนาแล้ว (Developed Markets) อย่าง อเมริกา ยุโรป และ ญี่ปุ่น และออกจากฝั่งตลาดเกิดใหม่อย่าง ยุโรปตะวันออก ละตินอเมริกา และเอเชีย
ซึ่งก็มีเหตุผลของมันนะครับ เม็ดเงินจาก QE ฝั่งอเมริกา และยุโรป และที่กำลังอัดอยู่ทุกๆเดือนที่ญี่ปุ่นผ่าน Abenomics นั้น หลักๆแล้วมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน นั้นก็คือ ตลาดพันธบัตร เพื่อไปกดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ต่ำเป็นพิเศษ จูงใจให้บริษัทกู้เงินไปลงทุนในต้นทุนที่ต่ำลง แต่หลังจากนี้ ถ้ามี QE Tapering ก็หมายความว่า FOMC มั่นใจแล้วว่าศก.อเมริกาดีจริง ไม่ต้องพึ่งพา QE และ เมื่อนั้นเงินที่อยู่ในตราสารหนี้มากๆ ก็ไหลกลับมาสู่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น
แล้วต่อจากนี้ ตลาดหุ้นบ้านเราจะเป็นอย่างไร?
ปีนี้ ต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยไป เหลืออีกนิดเดียวก็จะเกิน 200,000 ล้านบาท ถือว่า เป็นแรงขายที่เยอะกว่าตอนวิกฤตปี 2008 ค่อนข้างมาก และพอขายมากๆ เราก็กลัวว่า เขาจะไม่กลับมาหาเราอีก
แต่อดีตก็เป็นเครื่องการันตีอนาคตว่า มาแล้วก็ไป ไปแล้ว เด๋วซักพักก็กลับมา วนเวียนไปเรื่อยๆ เป้นอย่างนี้มาตลอด แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ การที่โวลุ่ม ปริมาณการซื้อขายในตลาดนั้นลดลงค่อนข้างมาก แปลว่า มีนักลงทุนเลือกที่จะอยู่เฉยๆรอดูความชัดเจน (ไม่ก็หลับคาดอยกันไปหมดแว้วววว) ดังนั้น หากต่างชาติยังขายเฉลี่ยวันละ 2,000 - 4,000 ล้านบาทไปเรื่อยๆ ก็เหนื่อยจิตแน่นอน
หลังจากนี้ จะดูว่าต่างชาติจะหยุดขายเมื่อไหร่ คงต้องไปดู Valuation ของตลาดไทย เทียบกับคนอื่น ตารางด้านล่าง เป็นการเทียบ P/E และ P/BV ของดัชนีสำคัญของโลก (ไทยเราถูกรวมใน ASEAN)
ซึ่งเห้นปั๊บก็จะรู้ทันทีว่า ASEAN นั้น เทรดที่ PE ใกล้ๆระดับสูงกว่าระดับค่าเฉลี่ยในรอบ 20 ปี และสูงสุดในรอบ 20 ปี ที่ผ่านมา ในขณะที่ S&P500 ยุโรป จีน ญี่ปุ่น ยังมี Upside ให้วิ่งขึ้นอีกพอสมควร
ข้อมูลจาก J.P.Morgan Asset Management
การเมืองยังไม่ชัด นักวิเคราะห์ก็พร้อมปรับ Valuation หุ้นไทยลงทุกเมื่อ เป็นแบบนี้ อีก 3 เดือนข้างหน้า ถึงมีเด้งขึ้นได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยั่งยืน อีกทั้ง ควรถอยมาดูภาพใหญ่ไกลตัวมากขึ้น เพราะ ปริมาณเงินที่มีมาก จะทำให้การไหลไปไหลมาของ Fund Flow เร็วมากขึ้น อันนี้เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องยอมรับให้ได้
หยุดขายเมื่อไหร่ เด้งได้เมื่อไหร่?
ตอบแบบตรงๆก็คือ เมื่อเขาซื้อ อเมริกา ยุโรป และ ญี่ปุ่นจนพอใจ แล้วพบว่า ซื้อจนราคามันแพงไป พอหันกลับมาที่หุ้นไทย แล้วก็คิดได้ว่า โอ้ววววว ถูกจังเบยยยยย
ตอบแบบเป๊ะๆว่าเมื่อไหร่?
... ไม่รู้จริงๆครับ รู้แต่ว่า ปีหน้า ยากกว่าปีนี้ แน่นอน
Merry X'Mas & Happy New Year ล่วงหน้านะครับ
--------------------------
โชคดีในการลงทุนครับ